คำถามที่ผมอยากให้ทุกคนร่วมกันคิด โดยเฉพาะผู้จะเป็นครู คือ
1) ในปัจจุบัน เด็กไทย (รวมถึงผู้ใหญ่ไทย) มีสุขนิสัยที่ดี ในเรื่องพฤติกรรมการบริโภค พฤติกรรมสุขภาพ ที่เหมาะสมหรือไม่ เพียงใด
1) ในปัจจุบัน เด็กไทย (รวมถึงผู้ใหญ่ไทย) มีสุขนิสัยที่ดี ในเรื่องพฤติกรรมการบริโภค พฤติกรรมสุขภาพ ที่เหมาะสมหรือไม่ เพียงใด
ในปัจจุบัน เด็กไทยรวมถึงผู้ใหญ่ไทย ไม่ค่อยมีความใสใจเรื่องต่างๆที่เอยมา เด็กไทยในปัจจุบันมีนิสัยที่ก้าวราว มีอารมณ์ที่รุนแรง มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่นดื่มเลา เมายา ผู้ใหญ่ก็มีนิสัยอีกแบบคือมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่ค่อยให้ความน่านับถือแก่เด็กและเป็นแบบอย่างที่ดีไม่ได้ แต่บางคนที่ก็ดีมากไป จนใช้ชีวิติอยู่ในสังคมปัจจุบันไม่ได้ต้องอยู่อย่างลำบากเพระความแกงแย่งชิงดีกัน
ในเรื่องพฤติกรรมการบริโภค การบริโภคของคนปัจจุบันไม่ค่อยเน้นเรื่องของการมีคุณภาพหรือไม่มี แต่เน้นไปทางด้านรสนิยมกันเป็นจำนวนมากพฤติกรรมการบริโภคจึงน่าเป็นห่วงมากในปัจจุบัน แต่มีคนส่วนใหญ่ที่เน้นเรื่องนี้มากๆเพราะการมีสุขภาพที่แข็งแรงและยืนยาวถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
พฤติกรรมสุขภาพ คนในปัจจุบันมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนักเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อาหารที่ได้รับเข้าไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ ที่จะได้รับหรือการตอบสนองต่อร่างกาย คนไทยจึงมีสุขภาพย่ำแย่ป่ายกันมาก มีอายุไม่ค่อยยืนยาวไม่เหมือนคนสมัยก่อนมีอายุยืนเพราะอาหารการกินไม่มีสารพิษ ไม่มีสิ่งเจือปนมากนักและได้ออกกำลังกายบ้างเช่นการทำไร่ ทำนาถือว่าได้มีการเคลื่อนไหวของร่างกายอยู่บาง
2) ในปัจจุบันเด็กไทย (รวมถึงผู้ใหญ่ไทย) มีกีฬาประจำตัว มีปฏิทินการออกกำลังกาย และได้ออกกำลังกายตามปฏิทินอย่างจริงจัง มากน้อยเพียงใด (ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล แพทย์ไทย มักจะถาม คำถามว่า “มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง” แต่ไม่เคยถามว่า “หนู มีกีฬาประจำตัวหรือไม่ มีปฏิทินออก กำลังกายไหม)
2) ในปัจจุบันเด็กไทย (รวมถึงผู้ใหญ่ไทย) มีกีฬาประจำตัว มีปฏิทินการออกกำลังกาย และได้ออกกำลังกายตามปฏิทินอย่างจริงจัง มากน้อยเพียงใด (ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล แพทย์ไทย มักจะถาม คำถามว่า “มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง” แต่ไม่เคยถามว่า “หนู มีกีฬาประจำตัวหรือไม่ มีปฏิทินออก กำลังกายไหม)
ส่วนใหญ่การมีกีฬาประจำตัวเป็นของตัวเองส่วนมากจะเป็นนักกีฬามากกว่า และเป็นส่วนน้อยที่คนจะใส่ใจเรื่องนี้ จึงมีคนไม่มากนักที่จะมีกีฬาประจำตัวหรือมีปฏิทินไว้ออกกำลังกาย
การที่ไปโรงพยาบาลแล้วคุณหมอถามว่าท่านมีโรคประจำตัวไหม มันก็ถูกของเขาถ้าไม่ถามจะรักษาถูกได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นการถามเรื่องมีกีฬาประจำตัวหรือเปล่ามีปฏิทินในการออกกำลังกายมันก็สมควรที่จะถามเพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นและกระตุ้นให้เด็กไทยและผู้ใหญ่ไทยได้มีจิตสำนึกในการรักษาสุขภาพของตัวเองไม่ให้เจ็บป่วย
3) เด็กไทยมีความสามารถในการบริหารสุขภาพจิต การควบคุมอารมณ์ หรือการพัฒนาบุคลิกภาพหรือไม่ เพียงใด (ดูได้จากบรรยากาศการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ในทันทีที่มีการประกาศผลการแข่งขัน จะมี 1 ทีมที่ร้องให้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้)
3) เด็กไทยมีความสามารถในการบริหารสุขภาพจิต การควบคุมอารมณ์ หรือการพัฒนาบุคลิกภาพหรือไม่ เพียงใด (ดูได้จากบรรยากาศการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ในทันทีที่มีการประกาศผลการแข่งขัน จะมี 1 ทีมที่ร้องให้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้)
ประมาณ40%ที่เด็กไทยไม่สามารถบริหารสุขภาพจิตและควบคุมอารมณ์ได้เพราะการเลี้ยงดูครอบครัวไม่เหมือนกันเด็กอาจมีนิสัยมีพฤติกรรมตามสภาพที่ครอบครัวเป็นอยู่ ในปัจจุบันเหมือนกับที่ยกตัวอย่างในเรื่องการแข็งขันชิงชนะเลิศ เด็กบางคนอาจร้องให้ในการแพ้ และมีอารมณ์รุนแรง มีการทะเลอะวิวาทและมีพฤติกรรมที่แสดงออกไม่เหมาะสมหรือผิหวังเรียงการเรียนอาจฆ่าตัวตายก็มี
แต่เด็กประมาณ60%จะมีพฤติกรรมที่น่ารักสามารถยอมรับและทำใจได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหนก็ทนได้มีสุขภาพจิตและอารมณ์ที่มันคง ไม่เกิดความหวั่นไหวจากสิ่งต่างๆและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
การพัฒนาบุคลิกภาพเด็กไทยและผู้ใหญ่ไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้นเพราะทำให้ตัวเองดูสง่าและเป็นที่นับถือแก่ผู้คนที่พบเห็นแต่ก็เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่นัก
4) ขณะนี้โรงเรียนได้ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็ก พอ ๆ กับ การส่งเสริมด้านวิชาการหรือไม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนที่ได้รับค่านิยมสูง (มีชื่อเสียง)
4) ขณะนี้โรงเรียนได้ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็ก พอ ๆ กับ การส่งเสริมด้านวิชาการหรือไม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนที่ได้รับค่านิยมสูง (มีชื่อเสียง)
ไม่เพราะโรงเรียนไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตสักเท่าไหร่ก็มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องด้านวิชาการโดยเฉพาะโรงเรียนที่มีได้รับค่านิยมสูงจึงเน้นเรื่องหนาตาและชื้อเสียงของโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ทำกิจกรรมแค่เอาหน้าตาให้กับโรงเรียนหรือเรียกว่าผักชีโรยหน้า
5) เมื่อเปิดภาคเรียน ภายใน 2 สัปดาห์แรก ครูประจาชั้นได้ทาความรู้จักกับนักเรียนมากน้อยเพียงใด มีการจำแนกเด็กนักเรียนเป็นกลุ่มเสี่ยง-กลุ่มปกติหรือไม่ (กลุ่มเสี่ยงหมายถึง ผลการเรียนอ่อน สุขภาพไม่ดี มีปัญหาทางครอบครัว รวมถึงมีผลการเรียนดีมาก เกรดเฉลี่ย 4.00 มาโดยตลอด ซึ่งจะเสี่ยงในเรื่องความเครียด)
5) เมื่อเปิดภาคเรียน ภายใน 2 สัปดาห์แรก ครูประจาชั้นได้ทาความรู้จักกับนักเรียนมากน้อยเพียงใด มีการจำแนกเด็กนักเรียนเป็นกลุ่มเสี่ยง-กลุ่มปกติหรือไม่ (กลุ่มเสี่ยงหมายถึง ผลการเรียนอ่อน สุขภาพไม่ดี มีปัญหาทางครอบครัว รวมถึงมีผลการเรียนดีมาก เกรดเฉลี่ย 4.00 มาโดยตลอด ซึ่งจะเสี่ยงในเรื่องความเครียด)
ครูส่วนใหญ่จะแนะนำตัวเองและให้เด็กแนะนำตัวเองและทำความรู้จักกับเพื่อนในห้อง แต่การจำแนกเด็กเป็นกลุ่มเสียงหรือกลุ่มปกติ เช่น ผลการเรียนอ่อนสุขภาพไม่ดี มีปันหาครอบครัว รวมไปถึงผลการเรียนดีมากในที่กล่าวมาครูส่วนใหญ่จะไม่แยกเด็กออกจากกันเพราะตัวของเด็กจะถูกมองเป็นปมดอยของคนอื่นๆ และไม่สามารถที่จะพัฒนาตนเองได้ต้องมีเพื่อนที่เก่งกว่าลากเขาไปด้วยจึงควรอยู่กันเพื่อได้ให้ความช่วยเหลือซึ้งกันและกันจะดูกลมกลืนกับไปกับเด็กทั้งไปไม่ทำให้เขารู้สึกมีปมด้อยและไม่ทำให้เด็กเครียดและครอบครัวควรเอาใจใส่เด็กไม่ควรคาดหวังจากตัวเด็กมากเกินไปในเรื่องผลการเรียนเพราะจะทำให้เด็กถูกกดดันและเกิดความเครียดจึงไม่มีคนให้คำปรึกษาหาทางออกไม่ได้
6) ครูประจาชั้น หรือโรงเรียนได้จัดระบบดูแล-ช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงอย่างไรบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงในชีวิต(สมัยที่ผมเป็นครูประจำชั้น ผมจะประกาศรายชื่อ “ผู้ช่วยอาจารย์ประจำชั้น” โดยเลือกจากนักเรียนกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้นักเรียนเหล่านี้มีโอกาสทางานใกล้ชิดกับครู มีการประชุมร่วมกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง)
ให้ความรักความอบอุ่นและให้คำปรึกษาให้เด็กมีความใกล้ชิดอาจารย์หรือผู้ปกครองที่พอจะให้คำปรึกษาได้ และการสอนต้องไม่ทำให้เด็กเครียดและทางโรงเรียนจะต้องเน้นเนื้อหาด้านสุขภาพจิตรและอารมณ์ ฝึกให้เด็กมีความเข้มแข็งและความอดทน เช่นส่งเสริมให้เด็กจัดกิจกรรม จัดเป็นกลุ่มระบบครอบครัว ในแต่ละสัปดาห์ให้รวมกันทำกิจกรรมรวมกันส่งเสริมให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออก ทำให้ไม่เครียดและได้มีเพื่อนใหม่มากขึ้น
7) โรงเรียนมีการพัฒนารายวิชา (วิชาเลือก/วิชาเพิ่มเติม) ที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุมอารมณ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ การบริหารจัดการกับปัญหาสุขภาพจิต ฯลฯ หรือไม่ (หลักสูตรประเทศสิงค์โปร์ เด็กอนุบาล ต้องเรียนวิชา “การควบคุมอารมณ์”)
7) โรงเรียนมีการพัฒนารายวิชา (วิชาเลือก/วิชาเพิ่มเติม) ที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุมอารมณ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ การบริหารจัดการกับปัญหาสุขภาพจิต ฯลฯ หรือไม่ (หลักสูตรประเทศสิงค์โปร์ เด็กอนุบาล ต้องเรียนวิชา “การควบคุมอารมณ์”)
โรงเรียนบางแห่งมีการพัฒนาบุคลิกภาพ เช่าวิชาเต้นแอโรบิด บาสเกตบอล หรือชมรมมารยาทไทย แต่การควบคุมอารมณ์กับสุขภาพจิตจะไปเน้นในโรงเรียนเด็กพิพิเศษมากกว่าจึงทำให้เด็กทั่วไปไม่ค่อยได้รับการสอนด้านนี้มากเท่าไหร่ จึงทำให้มีปันหาเกิดขึ้นมาก ทั้งในเรื่องอารมณ์ จิตรใจ และการทำรายตัวเอง
8) โรงเรียนมีการประเมินมาตรฐานด้าน สุขภาพกาย และสุขภาพจิต เป็นระยะ ๆ อย่างจริงจังมากน้อยเพียงใด
8) โรงเรียนมีการประเมินมาตรฐานด้าน สุขภาพกาย และสุขภาพจิต เป็นระยะ ๆ อย่างจริงจังมากน้อยเพียงใด
โรงเรียนโดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการประเมินในเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตแต่เน้นเรื่องวิชาการมากกว่า
9) โรงเรียนมีแบบประเมิน/แบบสังเกตภาวะสุขภาพกาย สุขภาพจิตของนักเรียน เพื่อครูประจาชั้น และ พ่อแม่ใช้ในการสังเกต-ประเมินนักเรียนในความรับผิดชอบ หรือบุตรหลานของตนเอง หรือไม่
9) โรงเรียนมีแบบประเมิน/แบบสังเกตภาวะสุขภาพกาย สุขภาพจิตของนักเรียน เพื่อครูประจาชั้น และ พ่อแม่ใช้ในการสังเกต-ประเมินนักเรียนในความรับผิดชอบ หรือบุตรหลานของตนเอง หรือไม่
มีแต่น้อยมากในแต่ละปีจะมีครั้งเดียวที่มีการประเมินสังเกตภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิตรของนักศึกษาและมีการไปเยี่ยมบ้านของนักเรียนว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร การประเมินควรจะมีทุกเทอมเพราะเป็นการดูแลช่วยเหลือเด็กอย่างใกล้ชิดและได้ลดปัญหาในเรื่องอื่นๆเช่นปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กฆ่าตัวตาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น